ชวนมาดูฟอร์จูนเนอร์มือสองโฉมแรก รุ่นไหนบ้างที่คุ้มค่าน่าใช้มากที่สุด

ชวนมาดูฟอร์จูนเนอร์มือสองโฉมแรก รุ่นไหนบ้างที่คุ้มค่าน่าใช้มากที่สุด

        หากให้พูดถึงรถอเนกประสงค์รุ่นยอดนิยมตลอดกาลหนึ่งในนั้นคงต้องยกให้ Toyota Fortuner อย่างแน่นอน เพราะเรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่ทำยอดขายได้สูงสุดและได้รับความนิยมนับตั้งแต่เปิดตัวกันเลยทีเดียว โดยเป็นรถอเนกประสงค์ที่มีความโดดเด่นด้วยพื้นฐานโครงสร้างที่มาจากรถกระบะ Toyota Hilux Vigo ในขณะนั้น ซึ่งนับตั้งแต่เปิดตัว Toyota Fortuner รุ่นแรกในปี 2004 ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเป็นรถที่อยู่ในรุ่นใกล้เคียงกับ Isuzu mu-7, Mitsubishi Pajero Sport และ Ford Everest ซึ่งเป็นรถที่ใช้โครงสร้างเกี่ยวกับรถกระบะของแต่ละค่ายก็คือ Isuzu D-Max,  Mitsubishi Triton และ Ford Ranger ตามลำดับ นอกจากนี้ก็ยังเป็นคู่แข่งกับรถอเนกประสงค์แบบ SUV ของค่ายอื่น ๆ ในช่วงราคาใกล้เคียงกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Honda CR-V, Nissan X-Trail และ Chevrolet Captiva เป็นต้น ซึ่งรุ่นที่อยู่ในเจเนอเรชั่นแรกก็จะเป็นรุ่นที่เปิดตัวออกมาตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปี 2014 โดยได้มีการเปิดตัวโฉมที่ 2 ออกมาในปี 2015 

รุ่นแรกก่อนปรับโฉม

        Toyota Fortuner นั้นก็เป็นรถอเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดกลางรุ่นแรกของโตโยต้าที่อยู่ภายใต้โครงการ “IMV: Innovative International Multi-Purpose Vehicle” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 2004 โดยรุ่นแรกที่ได้มีการเปิดตัวก็มาพร้อมกับจุดเด่นในเรื่องของรูปลักษณ์ที่มีความสวยงามโดดเด่น มีความแข็งแกร่งบึกบึนและหรูหรา และมาพร้อมกับสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่แรงที่สุดในรถระดับเดียวกัน ณ เวลานั้น โดยมาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3,000 cc D4D Commonrail Turbo Intercooler พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ให้พละกำลังสูงสุดถึง 163 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 343 นิวตันเมตรที่ 1,400-3,400 รอบต่อนาที และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2700 cc ที่ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 241 นิวตันเมตรที่ 3,800 รอบต่อนาที โดยมีรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด3 รุ่น ได้แก่ รุ่น 2.7V ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2700 cc รุ่น 3.0G และ 3.0V ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล จับคู่มากับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ยกเว้นในรุ่น 3.0G ที่เป็นเกียร์ธรรมดา ทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจากท้องตลาดเป็นอย่างมาก 

ต่อมาในเดือนมีนาคมปี 2006 ก็ได้มีการเพิ่มรุ่นพิเศษ Exclusive เข้ามา โดยมาพร้อมกับสีขาวมุกที่มีความสวยงามจนทำให้รถสีขาวได้รับความนิยมกันเป็นอย่างมากในตอนนั้น และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันก็ได้ทำการปรับอุปกรณ์ใหม่ อย่างเช่น ใช้วัสดุหัวเกียร์หุ้มหนัง ปรับเปลี่ยนแผงบังแดดเป็นกำมะหยี่ มีระบบฟอกอากาศในช่องแอร์ และเพิ่มที่วางแก้วสำหรับผู้โดยสารตอนหลังในรุ่น V จากนั้นในช่วงกลางเดือนมีนาคม ปี 2007 ก็ได้มีการเพิ่มรุ่นพิเศษ Smart ที่มาพร้อมชุดแต่งสไตล์สปอร์ตแบบเดียวกับชุดตกแต่ง TRD และในช่วงปลายเดือนกันยายนปีเดียวกันก็มีการปรับรุ่นย่อยในรุ่น 2.7V จากรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD เป็นขับเคลื่อน 2 ล้อ 2WD

แต่ข้อเสียของ Toyota Fortuner รุ่นแรกก่อนการปรับโฉม ก็จะเป็นในเรื่องของระบบเบรกที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่นักเพราะว่าไม่มีระบบเสริมแรงเบรก (BA) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) มาให้ รวมไปถึงใช้หม้อลมเบรกชั้นเดียว ล้อหลังเป็นดรัมเบรก โดยมีเพียง ABS กับวาล์วปรับแรงดันตามการยุบที่ช่วงล่างเท่านั้น นั่นก็เลยทำให้ผู้ขับขี่พบกับปัญหาเมื่อมีการเหยียบเบรกกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งถ้าหากอยากได้รถฟอร์จูนเนอร์มือสองที่อยู่ในเจเนอเรชั่นแรก ก็แนะนำให้ซื้อเป็นรุ่น Smart TRD รุ่นปี 2006 เพราะได้มีการปรับปรุงระบบเบรกให้ดีขึ้น มีระยะการเบรกที่สั้นลง นอกจากนี้ก็ยังเป็นรุ่นที่ได้รับการแต่งพิเศษด้วยชิ้นส่วนอะไหล่แท้จากโรงงานมาพร้อมตัวถังสีขาวหรือสีดำที่มีความสวยงามทันสมัย ใส่ล้อแม็กซ์ขนาด 18 นิ้วมาให้ พร้อมชุดช่วงล่าง TRD  ภายในตกแต่งด้วยลายเคฟล่าร์และเบาะหนัง Perforated 

 

รุ่นปรับโฉมครั้งที่ 1

        Toyota Fortuner ได้มีการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ครั้งที่ 1 ออกมาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2008 โดยได้มีการปรับปรุงภายนอกใหม่ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ที่มาพร้อมกับไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบโปรเจคเตอร์ ออกแบบไฟท้ายใหม่ ล้อแม็กลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว ที่มาพร้อมระบบช่วยทรงตัว (VSC) และระบบป้องกันล้อลื่นไถล (TRC) โดยในโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่ 1 นี้ ก็ได้มีการปรับปรุงในเรื่องของระบบเบรกให้ดีขึ้นด้วยการเปลี่ยนจานเบรกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกให้มากขึ้น พร้อมเพิ่มระบบเสริมแรงเบรก (BA) เข้ามาให้ จึงเรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่ได้ทำการแก้ไขข้อด้อยจากรุ่นแรกก่อนปรับโฉมในเรื่องของระบบเบรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในโฉมนี้ก็มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งแอร์ภายในให้ขึ้นมาอยู่บนเพดานในทุกที่นั่ง โดยมีรุ่น 3.0V 4WD Navi ที่มาพร้อมกับเครื่องเล่นดีวีดีและระบบนำทางเนวิเกเตอร์มาให้เลือกด้วย พร้อมทั้งเพิ่มรุ่นดีเซลแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ 3.0V เกียร์อัตโนมัติ 

        ในเดือนเมษายนปี 2009 ก็ได้มีการเพิ่มรุ่นพิเศษ TRD Sportivo และ Aperto และในช่วงเดือนตุลาคมปีเดียวกันก็มีการปรับลุคใหม่ในรุ่น TRD Sportivo และ Aperto ไม่ว่าจะเป็นสเกิร์ตตกแต่งสไตล์สปอร์ต ล้อรมดำ และทำการปรับรุ่นย่อยจากเดิมรุ่น 3.0G 4WD เป็นรุ่น 2.5G 2WD และยังได้เพิ่มสีตัวถังภายนอกใหม่มาอีกได้แก่ สีขาว Super White ll ในรุ่น 3.0V ซึ่งก็ทำให้รถสีขาวได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นไปอีก และในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปี 2010 ก็ได้ทำการปรับลุคในรุ่น TRD Sportivo อีกครั้ง โดยออกแบบชุดแต่งภายนอกให้มีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้นพร้อมติดตั้งระบบนำทางอัจฉริยะมาให้ใช้งานกัน ถ้าหากใครอยากได้ฟอร์จูนเนอร์มือสองที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานครบครันในราคาที่คุณค่าก็แนะนำให้ลองพิจารณารุ่นปรับโฉมครั้งที่ 1 ปี 2008 กันดู หรือถ้ามีงบมากหน่อยก็อาจจะขยับมาเป็นรุ่น TRD Sportivo ก็จะได้ฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครันและทันสมัยมากยิ่งขึ้น 

 

รุ่นปรับโฉมครั้งที่ 2

เปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมปี 2011 โดยเป็นโฉมที่เรียกว่าเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่แบบบิ๊กไมเนอร์เช้นจ์ มาใน Concept “Above & Beyond” เหนือใครในทุกมุมมอง ปรับเปลี่ยนดีไซน์ภายนอกใหม่หมดแทบทั้งคันไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนไฟหน้าให้เป็นซีนอนโปรเจคเตอร์พร้อมที่ฉีดไฟหน้า สามารถปรับระดับสูงต่ำได้อัตโนมัติ ออกแบบกระจังหน้าและไฟท้ายใหม่ กันชนหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง กันชนท้ายแบบใหม่โดยมีคิ้วสแตนเลสพี่เขียนคำว่า FORTUNER เอาไว้เหนือกรอบทะเบียน ไฟทับทิมที่กันชนรูปทรงใหม่พร้อมทั้งทำการย้ายตัวอักษรสำหรับบอกรุ่นเครื่องยนต์เอาไว้ด้านท้าย นอกจากนี้ก็ยังได้มีการเพิ่มสีสันตัวถังภายนอกเพิ่มมาใหม่อีกได้แก่ สีขาวมุก White Pearl CS และ สีเทานํ้าเงิน Dark Steel Mica 

ต่อมาในเดือนมีนาคม 2012 ก็ได้ปล่อยรุ่นตกแต่งพิเศษ TRD Sportivo ที่มาพร้อมสโลแกน “DNA สปอร์ตสายพันธุ์ใหม่” สำหรับสายลุยที่ชื่นชอบรถที่มีความสมบุกสมบันในสไตล์สปอร์ต จากนั้นกลางเดือน สิงหาคมในปีเดียวกันก็ได้ทำการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่ในรุ่นดีเซลจากเดิม 4 สปีด กลายเป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด และได้ทำการเพิ่มรุ่นย่อย 2.5G เกียร์อัตโนมัติเข้ามา พร้อมทั้งปรับสมรรถนะกำลังเครื่องยนต์ในรุ่น 3,000 cc ให้เพิ่มขึ้นเป็น 171 แรงม้า โดยที่หน้าตาภายนอกยังคงเหมือนเดิม แต่ภายในก็จะมีการเพิ่มระบบนำทาง Eco Navi ที่สามารถประมวลผลพฤติกรรมการขับขี่แบบ Real Time รวมไปถึงเครื่องเล่น DVD และจอแสดงผล LCD แบบสัมผัส ขนาด 6.1 นิ้ว เข้ามาให้ 

ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปี 2013 ก็ได้ทำการปรับการตกแต่งภายในลุคใหม่สีดำที่ดูสปอร์ตสวยหรูมากยิ่งขึ้น และได้ทำการเปลื่ยนรุ่นย่อยจาก 2.5G AT 2WD เป็นรุ่น 2.5V AT 2WD พร้อมเพิ่มฟังก์ชันและอุปกรณ์สำหรับอำนวยความสะดวกในการขับขี่และความบันเทิงที่ครบครันมากยิ่งขึ้น จากนั้นก็ได้ทำการปรับโฉมในรุ่น TRD Sportivo กันอีกครั้งในช่วงเดือนเมษายนปี 2014 โดยมาพร้อมกับกระจังหน้าดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ต พร้อมชุดแต่งรอบคัน ภายในติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว และจอ LCD บนเพดานขนาด 10.1 นิ้ว สำหรับผู้โดยสาร และในช่วงเดือนสิงหาคมปีเดียวกันก็ได้ทำการเพิ่มรุ่นพิเศษ Midnightshine Edition ซึ่งถือได้ว่าเป็นรุ่นสุดท้ายของฟอร์จูนเนอร์ในเจเนอเรชั่นที่ 1 โดยมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่มีความหรูหรามากขึ้นด้วยการใช้โทนสีดำ ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า-หลังรมดำ ล้ออัลลอยรมดำ กรอบไฟตัดหมอกโครเมียม ล้อแม็กรมดำ ตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยโทนสีดำ โดยมีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 3 สีได้แก่ สีดำ สีบรอนซ์เงิน และสีเทา โดยได้มีการตัดสีเทานํ้าเงิน Dark Steel Mica ออกไป 

ถ้าหากใครกำลังมองหาฟอร์จูนเนอร์มือสองที่อยู่ในรุ่นปรับโฉมบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ ก็อาจจะลองดูเป็นตัวแรกของปี 2012 ก็ได้ เพราะเรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่มีความสวยงามทันสมัย ฟังก์ชันและอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงระบบความปลอดภัยที่ครบครันโดยที่ยังคงอยู่ในช่วงราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนั่นเอง   

มีนาคม 1 2024 By Admin ฟอร์จูนเนอร์มือสอง       

บทความอื่นที่น่าสนใจ